วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทุกสิ่งอันที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน (Toutes ces choses qu’on ne s’est pas dites)




ทุกสิ่งอันที่เรามิเคยเอื้อนเอ่ยต่อกัน (Toutes ces choses qu’on ne s’est pas dites)  นับเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของมาร์ก  เลอวี  นักเขียนนิยายโรแมนติกชาวฝรั่งเศส  ที่เคยสร้างความประทับใจให้กับนักอ่านทั่วโลกมาแล้วจากนิยายเรื่อง  ปาฏิหาริย์รักต่างภพ และ ปาฏิหาริย์รักคืนใจ   และ อธิชา  มัณชุนากร  กาบูล็อง เป็นผู้แปลนิยายเรื่องนี้เป็นภาษาไทย
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของแอนโทนี  วัลช์ ที่ต้องการกลับมาแก้ไขความผิดพลาดในอดีตระหว่างเขากับจูเลีย  ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา    โดยแอนโทนีเลือกวันแต่งงานระหว่างจูเลียกับแอดัม (คู่หมั้นของเธอ)  เป็นวันที่เขาก้าวกลับเข้ามาในชีวิตของเธออีกครั้ง    การกลับมาของเขาได้สร้างความปั่นป่วนให้กับชีวิตของเธอไม่น้อย  เพราะแทนที่เธอจะได้แต่งงานตามที่ตั้งใจ  กลับต้องเปลี่ยนแผนเป็นไปร่วมงานศพของพ่อแทน   หลังจากนั้นยังพบว่าเธอต้องต้องใช้ชีวิตอยู่กับหุ่นยนต์มนุษย์ที่รูปร่างหน้าตา  วิธีคิด และการพูดจาเหมือนพ่อของเธอไม่ผิดเพี้ยน   เพราะ  แอนโทนียืนยันว่าที่เขากลับมาก็เพื่อที่ตามหาความรักและช่วงเวลาที่สูญหายไประหว่างเขากับเธอให้หวนคืนกลับมา   ขณะเดียวกันเขายังมีตั้งใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนที่พรากจูเลียจากทอมัส ชายที่เป็นรักแรกและรักแท้ไปจากเธอ   
แม้ทั้งคู่จะมีเวลาอันจำกัดเพียง 6 วันที่จะอยู่ร่วมกัน   แต่กลับก่อให้เกิดเรื่องราวอันน่าประทับใจเป็นจำนวนมาก  เพราะในแต่ละวันที่ผ่านไปได้เปิดโอกาสให้พวกเขาทั้งคู่ได้พูดคุย   เรียนรู้  ชดเชยและแก้ไขความผิดพลาดที่กระทำในครั้งอดีต  จนทำให้จูเลียตระหนักว่าพ่อรักเธอมากเพียงใด  ดังจะเห็นได้จากข้อความแสดงความรักที่เขาสามารถเปิดเผยให้เธอทราบในที่สุดว่า

“... จูเลียลูกรัก  ลูกรู้จักอะไรเกี่ยวกับความรักบ้าง  ...  ลองคิดดูสิว่า   ต้องรักมากมายขนาดไหนถึงจะได้เรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อลูกๆ เท่านั้น  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกๆ จะลืมช่วงปีแรกๆ ของชีวิต  รู้ว่าปีต่อๆ มาจะทนทุกข์จากสิ่งที่เราไม่ได้ทำให้ดี  รู้ว่าจะมีวันหนึ่งมาถึงอย่างไม่อาจต้านทานได้  วันที่ลูกๆ จะทิ้งเราไปพร้อมกับความภาคภูมิใจในอิสรภาพของตัวเอง” (หน้า 248-249

และ
 “...  พ่ออยากจะเป็นเพื่อน  เป็นคนรู้ใจ  เป็นคนที่ลูกไว้ใจ  แต่พ่อก็เป็นได้แค่พ่อของลูก  ถึงอย่างนั้นพ่อก็จะเป็นพ่อตลอดไป  นับตั้งแต่นี้ไม่ว่าพ่อไปไหน  พ่อจะนำความทรงจำของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขติดตัวไปกับพ่อด้วย  ความรักที่พ่อมีให้ลูกไงล่ะ ... กระทั่งเวลาที่พ่อไม่อยู่  พ่อก็ไม่ได้ไปห่างไกลจากลูกอย่างที่ลูกคิด  พ่อรักลูก  แม้จะรักอย่างไม่ได้เรื่องได้ราวก็เถอะ  พ่อมีสิ่งเดียวที่อยากจะขอลูก  สัญญากับพ่อนะว่าลูกจะมีความสุข”  (หน้า  292)

ยิ่งไปกว่านั้น  แอนโทนีและจูเลียยังร่วมกันตามหาหัวใจรักที่หายไปของเธอกลับคืนด้วย    เมื่อแอนโทนีเป็นผู้ที่พรากทอมัสชายหนุ่มนักข่าวชาวเยอรมันตะวันออกไปจากเธอ    เพราะเขาเห็นว่าทอมัสไม่คู่ควรกับเธอ  ต่อมาไม่นานจูเลียก็ต้องหัวใจสลายเมื่อทราบข่าวการตายของเขาขณะที่ไปทำข่าวสงครามที่คาบูล  ซึ่งตราบจนกระทั่งบัดนี้  เธอก็ไม่อาจที่จะลืมความรักที่มีต่อทอมัสได้  แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม    ด้วยเหตุนี้  แอนโทนีจึงต้องเป็นผู้พาทอมัสกลับมาคืนจูเลียอีกครั้ง   โดยยอมเปิดเผยว่าความจริงว่าทอมัสยังมีชีวิตอยู่    ซึ่งเขาเองที่เป็นผู้เก็บงำความลับนี้พร้อมจดหมายฉบับสุดท้ายที่ทอมัสเขียนถึงเธอไว้  และเพิ่งมอบให้เธอเมื่อเวลาผ่านมานานถึง 18 ปี    จนทำให้จูเลียตระหนักถึงความรักของทอมัสที่มีต่อเธอ  ดังความที่ปรากฎในจดหมายว่า 

  “ผมรักคุณอย่างที่คุณเป็น  และไม่เคยอยากให้คุณเป็นอย่างอื่น ผมรักคุณโดยที่ไม่ได้เข้าใจทุกเรื่อง  และเชื่อว่าเวลาจะทำให้ผมเข้าใจ  ... ถ้าเราได้กลับมาเจอกัน  ผมสาบานว่าจะไม่พรากลูกสาวที่คุณจะมีให้ผมจากผู้ชายที่แกเลือกในวันหนึ่ง  และถึงแม้ว่าจะแตกต่างกันขนาดไหน  ผมจะเข้าใจคนที่ขโมยแกไป  ผมจะเข้าใจลูกสาวของเรา  เพราะว่าผมรักแม่ของแก  ...  คุณเป็นสิ่งงดงามที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมในความทรงจำ  ผมได้รู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหนตอนที่เขียนจดหมายฉบับนี้นี่เอง  แล้วเจอกันนะ  ถึงอาจจะไม่แน่นอน  แต่อย่างไรคุณก็จะอยู่ที่นี่  และอยู่ตลอดไป  ที่ไหนสักแห่ง  ผมรู้ว่าคุณกำลังหายใจอยู่  แค่นั้นก็มากมายเหลือเกินแล้ว  ผมรักคุณ  ทอมัส (หน้า 149-150)

ด้วยความรักที่จูเลียและทอมัสมีให้แก่กัน  และยังได้รับแรงกระตุ้นจากแอนโทนี  จึงผลักให้เธอกล้าละทิ้งแอดัมและออกเดินทางเพื่อตามหาความรักและชายที่เธอรักกลับคืนมา    นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวมิตรภาพของเพื่อนระหว่างจูเลียและสแตนลีย์ที่ก่อกำเนิดในวันที่โศกเศร้าที่สุด    นั่นคือ วันที่จูเลียทราบข่าวการตายของทอมัส  ขณะที่สแตนลีย์ก็สูญเสียเอ็ดเวิร์ดชายที่เขารักที่เพิ่งจะตายด้วยโรคเอดส์เช่นกัน    ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ทำให้ทั้งสองคนผ่านช่างเวลาอันแสนระทมทุกข์นั้นมาได้   อีกทั้ง  สแตนลี่ย์ยังทำให้จูเลียลืมทิฐิและกล้าที่จะออกเดินทางไปตามหาอดีตร่วมกับพ่อของเธออีกครั้ง   ขณะเดียวกันเขายังทำให้จูเลียรู้ว่าคนที่เธอกและอยากจะแต่งงานด้วยจริงๆ คือ ทอมัสไม่ใช่แอดัม  ดังที่สแตนลีย์เตือนสติจูเลียว่า

 สิ่งสำคัญน่ะนะ  ที่รัก  ไม่ใช่การที่รู้ว่าอีกคนหนึ่งอยู่ที่เมืองไหนหรืออยู่ที่มุมใดของโลก  แต่ความรักที่ผูกพันเราไว้กับเขาต่างหากอยู่ที่ไหน  ความผิดพลาดทั้งหลายในอดีตไม่ใช่สิ่งสำคัญ  สิ่งสำคัญคือสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตอนนี้ต่างหาก” (หน้า 278)

            หนังสือเล่มนี้จึงอบอวลไปด้วยเรื่องราวความรักในแง่มุมต่างๆ ทั้งความรักที่ปราศจากเงื่อนไขของพ่อที่มีต่อลูก  มิตรภาพของเพื่อนรักที่พร้อมจะเข้าใจและสนับสนุนทุกการตัดสินใจของกันและกัน  ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความรักแท้ของชายหญิงคู่หนึ่ง  แม้เวลาที่ต้องแยกจากกันนานเกือบ 20 ปี ก็มิอาจลบเลือนความรักออกจากใจระหว่างเขาและเธอได้    เรื่องราวที่สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านเหล่านี้   ได้รับการเสริมให้มีเสน่ห์ด้วยความงดงามและละเมียดของภาษา    มาร์ก  เลอวี  ทีบรรจงร้อยเรียงและถักทอขึ้นอย่างตั้งใจ   และแง่งามของภาษาในเรื่องนี้   นับเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วมกับตัวละคร    จนก่อให้เกิดความรู้สึกอิ่มเอมในความรัก  เต็มตื้นในความรู้สึก  สะเทือนใจไปกับการพลัดพราก  และหม่นเศร้าด้วยความสงสารและเห็นใจ   ขณะเดียวกันข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านั้นยังเป็นบทเรียนให้กับผู้อ่านได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กันด้วย
-------------------------------------------